The Great Fire of London ปี 1666
ไฟไหม้ครั้งใหญ่ในลอนดอนปะทุเมื่อวันที่ 2 กันยายน 1666 และกินเวลานานสี่วัน มันทำลายบ้านเรือนกว่า 13,200 หลัง โบสถ์ 87 แห่ง อาสนวิหารเซนต์พอล และทำให้ชาวเมืองประมาณ 70,000 คนจากทั้งหมด 80,000 คนต้องไร้ที่อยู่อาศัย ไฟเริ่มขึ้นในร้านเบเกอรี่บนถนน Pudding Lane และลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยมีสาเหตุมาจากอาคารไม้และฤดูร้อนที่แห้งแล้งยาวนาน แม้จะมีความเสียหายอย่างกว้างขวาง แต่ยอดผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการก็ต่ำอย่างน่าประหลาดใจ โดยมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 6 ราย
Peshtigo Fire ปี 1871
ไฟเพชติโก ซึ่งเป็นไฟป่าที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 1871 ไฟกินพื้นที่ประมาณ 1.2 ล้านเอเคอร์ในรัฐวิสคอนซิน รวมทั้งเมืองเพชติโกด้วย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,200 ถึง 2,500 ราย ความรุนแรงของไฟทำให้บริเวณนั้นเกิดระบบสภาพอากาศของตัวมันเอง รวมถึงพายุทอร์นาโดไฟด้วย ภัยพิบัตินี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในชิคาโก แต่ความเสียหายของไฟเพชติโกนั้นยิ่งใหญ่กว่ามากในแง่ของพื้นที่ที่ครอบคลุมและผู้เสียชีวิต
Great Chicago Fire ปี 1871
ในตอนเย็นของวันที่ 8 ตุลาคม 1871 เหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในชิคาโกได้ลุกไหม้จนถึงวันที่ 10 ตุลาคม ทำลายพื้นที่ของเมืองประมาณ 3.3 ตารางไมล์ พังโครงสร้างอาคารกว่า 17,400 หลัง และทำให้ผู้คน 100,000 คนไม่มีที่อยู่อาศัย เพลิงไหม้ทำให้เกิดความเสียหายประมาณ 200 ล้านดอลลาร์ (เทียบเท่ากับกว่า 4 พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน) และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 300 ราย ต้นกำเนิดของไฟยังคงถกเถียงกันอยู่ แต่เป็นที่รู้กันว่าเริ่มต้นในหรือใกล้โรงนาเล็กๆ ของครอบครัวโอเลียรี
Triangle Shirtwaist Factory Fire ปี 1911
เหตุเพลิงไหม้โรงงานเสื้อเชิ้ต Triangle Shirtwaist ในนครนิวยอร์กเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 1911 ถือเป็นภัยพิบัติทางอุตสาหกรรมที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา คาดว่ามีคนงานตัดเย็บเสื้อผ้า 146 คน เสียชีวิตจากไฟไหม้ สูดควัน หรือกระโดดหนีไฟจนเสียชีวิต คนงานติดอยู่ภายในอาคารที่ถูกไฟไหม้เนื่องจากประตูทางออกที่ถูกล็อค เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน
The Cocoanut Grove Fire ปี 1942
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 1942 ไนท์คลับ Cocoanut Grove ในบอสตันถูกไฟไหม้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 492 รายและบาดเจ็บหลายร้อยคน ถือเป็นเพลิงไหม้ไนต์คลับที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา การแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของไฟมีสาเหตุมาจากอุปกรณ์ตกแต่ง และการขาดมาตรการความปลอดภัย เช่น ระบบสปริงเกอร์ และทางออกที่เพียงพอ
The Station Nightclub Fire ปี 2003
เหตุเพลิงไหม้ Station Nightclub เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2003 ในเมืองเวสต์วอร์วิก รัฐโรดไอส์แลนด์ สาเหตุเกิดจากการจุดพลุโดยวง Great White ซึ่งทำให้โฟมฉนวนกันเสียงติดไฟบนผนังและเพดานรอบเวที เพลิงไหม้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 100 ราย และบาดเจ็บมากกว่า 200 ราย
Bradford City Stadium Fire ปี 1985
เหตุเพลิงไหม้สนามกีฬาแบรดฟอร์ดซิตี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 1985 ที่เมืองแบรดฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ระหว่างการแข่งขันฟุตบอล บุหรี่ถูกทิ้งลงไปถูกกองขยะ ซึ่งตรงนั้นดันมีกองเศษไม้แห้งอยู่ ทำให้เกิดไฟไหม้ที่มีผู้เสียชีวิต 56 รายและบาดเจ็บอย่างน้อย 265 ราย
Happy Land Fire ปี 1990
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 1990 เหตุลอบวางเพลิงที่คลับโซเชียล Happy Land ในบรองซ์ นครนิวยอร์ก คร่าชีวิตผู้คนไป 87 ราย เหตุเพลิงไหม้เกิดขึ้นโดยชายคนหนึ่งที่ถูกไล่ออกจากคลับเมื่อเย็นวันนั้น หลังจากระงับเหตุ สถานที่นั้นก็ถูกสั่งปิดเนื่องจากมีการละเมิดความปลอดภัย รวมถึงการไม่มีทางหนีไฟ แต่กลับดำเนินการอย่างผิดกฎหมาย
Kemerovo Fire ปี 2018
เหตุเพลิงไหม้ในเมืองเคเมโรโวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2018 ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเมืองเคเมโรโว ไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 60 ราย รวมถึงเด็ก 41 ราย การแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของไฟเกิดจากการละเมิดความปลอดภัย รวมถึงทางหนีไฟที่ไม่ได้มาตรฐาน และระบบแจ้งเตือนเหตุเพลิงไหม้ที่ปิดใช้งาน
Ghost Ship Warehouse Fire ปี 2016
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2016 เกิดเพลิงไหม้ในโกดัง Ghost Ship ในเมืองโอกแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ระหว่างการแสดงคอนเสิร์ต โกดังหลังนี้ถูกดัดแปลงอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยและพื้นที่จัดกิจกรรม ไม่มีทางออกที่เหมาะสม ถังดับเพลิง และเครื่องตรวจจับควัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 36 ราย
