03 มิถุนายน 2567
เมื่อเวลา 16.00 น. พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้ลงพื้นที่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีโรงงานเก็บกากสารเคมีวินโพรเสส ซึ่งถูกไฟไหม้เมื่อวันที่ 22 เมษายน ที่ผ่านมา ส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนมากได้รับผลกระทบทางร่างกายจากการสูดดมสารเคมี บางรายมีอาการรุนแรงถึงขั้นไตเสื่อมระยะ 3
การตรวจสอบและการดำเนินคดี
พล.ต.ท.ธัชชัย พร้อมคณะได้เดินทางไปตรวจสอบโรงงานเก็บสารเคมีวัตถุอันตรายใน อ.อุทัย และ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเกิดเหตุเพลิงไหม้เช่นเดียวกับโรงงานใน จ.ระยอง โดยมีการออกหมายจับ นายโอภาส บุญจันทร์ เจ้าของโรงงาน ซึ่งถูกสงสัยว่าเป็นผู้ดำเนินการเรื่องทั้งหมด และที่ผ่านมาได้ออกหมายจับไปแล้วจำนวน 3 หมาย โดยหมายจับสุดท้ายอยู่ที่ สภ.บ้านค่าย
การคัดค้านการประกันตัวและการขยายผลการตรวจสอบ
ตำรวจได้คัดค้านการประกันตัวต่อศาลจังหวัดระยอง เนื่องจากเป็นคดีที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขยายผลตรวจสอบโรงงางานต่างๆ ที่มีการดำเนินงานเกี่ยวข้องกับโรงงานวินโพรเสส ใน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ประกอบด้วยโรงงานใน จ.นครราชสีมา เพชรบูรณ์ อยุธยา นนทบุรี และ จ.ชลบุรี
การดำเนินการตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมและคดีอาญา
การสืบสวนขยายผลใน 2 ส่วน คือ กฎหมายสิ่งแวดล้อมและคดีอาญา รวมถึงคดีเพลิงไหม้ที่ อ.ภาชี และ อ.บ้านค่าย ซึ่งเชื่อว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาวางเพลิง หรือเป็นเหตุความประมาท แต่สิ่งที่พบคือ ผู้ต้องสงสัยได้มีการนำกากสารพิษที่ไปประมูลมาโดยไม่ได้มีเจตนากำจัดสารพิษ และใช้วิธีเช่าโรงงานในพื้นที่ต่างๆ เพื่อนำสารพิษไปทิ้งทั้งในพื้นที่โรงงานที่เช่า และทิ้งในพื้นที่ป่าสงวน รวมทั้งพื้นที่สาธารณะ ซึ่งสารพิษเหล่านี้มีความเป็นอันตรายมากและอาจส่งผลให้ถึงตายได้
การดำเนินคดีอย่างรวดเร็วและโปร่งใส
นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งดำเนินการเรื่องดังกล่าวอย่างรวดเร็วและโปร่งใส โดยดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้อง เช่นเดียวกับ รรก.ผบ.ตร. ที่ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธัชชัย เข้าดูแล เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องในหลายพื้นที่
ส่วนความคืบหน้าในการดำเนินคดีนั้น ขณะนี้ตำรวจทุกหน่วยทั้งใน จ.ระยอง อยุธยา นครราชสีมา เพชรบูรณ์ และตำรวจ ปดส. กำลังเร่งรัดสืบสวนขยายผลเพื่อให้ปรากฏข้อเท็จจริง เบื้องต้น ได้มีการแจ้งข้อหาและหลายคน รวมทั้งออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องที่หลบหนีไปแล้ว ซึ่งคนที่หลบหนีอยู่จะไม่เป็นประเด็นในการส่งฟ้องเพราะมีพยานหลักฐานเพียงพอจะสั่งฟ้องได้
การแจ้งข้อหาใหม่และการเก็บหลักฐานเพิ่มเติม
ตำรวจได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมต่อนายโอภาสหลังเจ้าหน้าที่ได้พบหลักฐานใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังและจะดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นทั้งในเรื่องของการได้มาซึ่งสารเคมี การครอบครอง การออกใบอนุญาต การขนส่ง หรือการเอาสารเคมีลงในดินที่สาธารณะ ซึ่งตำรวจจะดำเนินคดีทั้งในเรื่องกฎหมายสิ่งแวดล้อม และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาญา
เช่นเดียวกับโรงงานที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบพยานหลักฐานใหม่เช่นกัน และขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการโดยมีเจ้าหน้ากรมโรงงานอุตสาหกรรมเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ
ส่วนความคืบหน้าเหตุเพลิงไหม้ทั้ง 2 แห่งที่ จ.ระยอง และอยุธยานั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล และได้มีการลงพื้นที่เก็บหลักฐาน พร้อมทั้งนำผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก รวมทั้งกรมโรงงานจะมาให้ข้อมูลเกี่ยวสารเคมี เพื่อประกอบสำนวนคดีให้ครบถ้วน และยังจะใช้กฎหมายฟอกเงินเข้ามาดำเนินคดีอีกด้วย และหากมีความผิดเข้าข่ายยึดทรัพย์ ก็จะดำเนินการทันที ป้องกันผู้ต้องหาโยกย้ายทรัพย์สินหนี พล.ต.ท.ธัชชัย กล่าว
การสุ่มตรวจสารเคมีปนเปื้อน
นายโกเมน ผิวพุ่ม นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง ที่ได้นำเจ้าหน้าที่จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม นำรถแบ็กโฮขุดตักดินภายในโรงงานเพื่อสุ่มตรวจ 6 จุด ตามที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าระหว่างปี 2556-2563 รงงานดังกล่าวได้ทำการขุดบ่อขนาดใหญ่ กว้างประมาณ 10 คูณ 20 เมตร จำนวน 3 บ่อเพื่อนำการสารเคมีเทลงจนเต็มบ่อก่อนจะทำการถมด้วยดินจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม ซึ่งพบว่าอะลูมิเนียมดรอสถูกฝังในดินจำนวน 5 จุด ถือเป็นหลักฐานใหม่ที่สามารถใช้แจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าของโรงงานดังกล่าวได้
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://mgronline.com/local/detail/9670000047600
https://www.matichon.co.th/region/news_4609087#google_vignette