13 กุมภาพันธ์ 2567
ชาวอเมริกันถึง 1 ใน 4 คน โดยเฉพาะในภูมิภาคทางตะวันออกเฉียงเหนือสูดมลพิษจากไฟป่าจากประเทศแคนาดา โดยมีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงอีกจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
จากเหตุการณ์ไฟป่าในแคนาดาในช่วงเวลาที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศ และสุขภาพของชาวอเมริกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มควันไฟป่า ทำให้คุณภาพอากาศในนิวยอร์ก แย่ที่สุดนับจากปี 1960 เป็นต้นมา คาดว่าถ้ามีการเปลื่ยนแปลงจะแย่ลงอีก
จากรายงานของ มูลนิธิเฟิร์ส สตรีท
ชาวอเมริกันประมาณ 83 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด ต้องเผชิญกับสถานการณ์มลพิษทางอากาศที่กำลังแย่ลงอย่างต่อเนื่อง ต้องพบกับการสูดอากาศที่มีค่ามลพิษเกินเกณฑ์มาตรฐาน
สถานการณ์นี้สร้างผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยการเพิ่มจำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบถึง 125 ล้านคน และในอนาคตอีกจำนวนมาก
การวัดระดับคุณภาพอากาศด้วยดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ที่อยู่ในระดับสีแดง เป็นสัญญาณเตือนว่าการทำกิจกรรมกลางแจ้ง อาจมีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ และอาจทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกหรือไอได้
ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา อเมริกาได้ใช้ พ.ร.บ.อากาศสะอาดในปี พ.ศ. 2513 เพื่อควบคุมการปล่อยมลพิษจากโรงงานและยานยนต์ เป็นการสร้างคุณภาพอากาศให้ค่าได้มาตราฐาน แต่เนื่องจากภาวะโลกร้อนที่ก่อให้เกิดการแปรปรวนของสภาพอากาศ เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้น และความแห้งแล้ง สถานการณ์การไหม้ป่าก็เริ่มมีความรุนแรงขึ้น ซึ่งมลพิษจากไฟป่านั้นก็เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ซึ่งมีผลให้มีการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
นอกจากนี้ การย้ายถิ่นฐานของประชากร เพื่อหนีจากมลพิษทางอากาศก็เริ่มมีการเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่ การควบคุมมลพิษในอดีตจากพ.ร.บ.อากาศสะอาดมีผลดีต่อคุณภาพอากาศ แต่สภาพอากาศที่แปรปรวน และการระบาดของไฟป่ากลับมาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มลพิษอันตรายต่อสุขภาพและสภาพความเป็นอยู่ของประชากรมากขึ้น
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.thairath.co.th/news/foreign/2762809
https://www.cbsnews.com/news/climate-change-air-quality-unhealthy-wildfires-first-street